รัฐบาลไทยได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อโนโรไวรัส ซึ่งพบว่ามีการแพร่ระบาดง่ายในกลุ่มเด็กนักเรียนและสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคดังกล่าว
จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีผู้ป่วยแล้วกว่า 1,436 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียน โดยการติดเชื้อเกิดจากการปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม และน้ำแข็ง รวมถึงอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน เช่น ผักและผลไม้สด[1][4]. เชื้อโนโรไวรัสสามารถติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสิ่งของที่ปนเปื้อน และมีระยะฟักตัวประมาณ 12-48 ชั่วโมง
อาการของผู้ป่วย** ได้แก่ อาเจียนรุนแรง, ปวดท้อง, ท้องเสีย, ไข้ต่ำ, อ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ และอาจมีอาการขาดน้ำซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตได้หากไม่รักษาอย่างทันท่วงที[1][4].
รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “กินสุก – ร้อน – สะอาด” และให้ความสำคัญกับการล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ก่อนและหลังทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ[4][5]. นอกจากนี้ หากมีอาการป่วยควรดื่มสารละลายเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ทันที